วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วุ้นน้ำหมักคืออะไร


เขียนโดย teerapan เมื่อ 20 มกราคม, 2012 - 18:10

วุ้นน้ำหมักคืออะไร

เท่าที่เข้าใจวุ้นน้ำหมัก ก็คือเพกติน (pectin) ถ้าถามต่อว่าเพกตินคืออะไรก็ต้องเข้าใจก่อนว่าน้ำตาลมีการแบ่งตามลักษณะของโมเลกุลออกมาเป็น 3 ประเภท คือ

1. น้ำตาลชั้นเดียว (Monosaccharides) เช่น ฟรุกโตส, กาแลกโทส, กลูโคส

2. น้ำตาลสองชั้น (Disaccharides) เช่น ซูโครส (กลูโคส + ฟรุกโทส), แลกโทส (กลูโคส + กาแลกโทส) , มอลโทส (กลูโคส + กลูโคส)

3. น้ำตาลหลายชั้น (Polysaccharides) เช่น แป้งสตาร์ซ, เซลลูโลส และเพกติน

สรุปแล้วเพกตินเป็นน้ำตาลหลายชั้นที่เป็นโครงสร้างของผนังเซลล์ของพืชชั้นสูงเกือบทุกชนิด จัดเป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับแป้งและเซลลูโลส ถูกค้นพบในศตวรรษที่ 18 ทำหน้าที่เป็นสารที่ทำให้เกิดเจล โดยในปี ค.ศ.1825 Henri Braconnot (เภสัชกรและนักพฤกษเคมีชาวฝรั่งเศส) ได้ตั้งชื่อและริเริ่มศึกษากรรมวิธีการสกัดเพกทิน

เพกตินมาจากภาษากรีกว่า “pektikos” ซึ่งแปลว่าทำให้ข้นแข็ง (to congeal) หรือทำให้กลายเป็นของแข็ง (to solidify) Kertesz ได้ให้คำจำกัดความของเพกทินว่าเป็นกรดเพกตินิก (pectinic acid) ชนิดละลายน้ำได้ซึ่งมีปริมาณหมู่เมทิลเอสเทอร์หลากหลาย สามารถเกิดเป็นเจลในสภาวะที่มีน้ำตาลและความเป็นกรดที่เหมาะสมหรือสภาวะที่ มีเกลือแคลเซียมร่วมอยู่ด้วย

สารประกอบเพกตินทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์และเป็นสารที่สำคัญในบริเวณ ชั้นผนังเชื่อมยึดระหว่างเซลล์หรือมิดเดิลลาเมลลา (middle lamella) ที่ยึดเหนี่ยวเซลล์เข้าด้วยกัน โดยจับกับเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และไกลโคโปรตีนของผนังเซลล์พืช เพกตินช่วยเสริมผนังเซลล์ให้หนา แข็งแรง และยืดหยุ่นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะบริเวณที่มีเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม เช่น ต้นอ่อน ใบ และผลไม้

ปริมาณของเพกตินในพืชผักผลไม้

เพกตินพบปริมาณมากในพืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วลิสง, ถั่วเหลือง และถั่วเขียว  จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลิตภัณฑ์จากถั่วจะมีความข้นสูง และสามารถนำมาทำเต้าหู้ได้ดี  นอกจากนั้นเพกตินยังพบมาในเปลือกของพืชตระกูลส้ม เช่น ส้มเช้ง, มะนาว, ส้มโอ และส้มเขียวหวาน  รวมถึงผลไม้อื่นอย่าง เช่น มะขามป้อม, กระท้อน, มะกอก, ละมุด, ฝรั่ง, กล้วย, แอปเปิ้ล, มะม่วง และสตรอเบอร์รี่   รวมทั้งพืชผักอื่นๆ เช่น แครอท, บีท, ฟักทอง, กระเทียม, เผือก, มัน, ใบหมาน้อย และหัวหอม

ในพืชบางประเภทจะพบเพกตินในปริมาณที่น้อยกว่า เช่น มะเขือเทศ, องุ่น, แตงโม, แตงกวา, สัปปะรด และพริก  ดังนั้นถ้าเราทำแยมจากผลไม้ที่มีเพกตินน้อยจึงจะต้องมีการเติมเพกตินลงไปให้เกิดเป็นเจลมากขึ้น อ่านเพิ่มเติมได้จากบล็อกของ Oddzy โดยเพกตินที่ขายอาจจะสกัดมาจากพืชที่มีเพกตินสูงตามธรรมชาติ เช่น เปลือกส้ม เปลือกมะนาว แอปเปิ้ล

ดังนั้นน้ำหมักของผลไม้บางอย่างที่มีเพกตินมากอยู่แล้วจึงจะมีโอกาสเกิดวุ้นน้ำหมักได้มากกว่า การตรวจสอบปริมาณเพกตินในน้ำผลไม้อย่างง่าย ๆ คือ น้ำผลไม้ที่กรองจนใส 1 ส่วน ผสมกับแอลกอฮอล์ (ethyl alcohol 95%) 3 ส่วน ใส่ในถ้วยแก้วที่ ใสสะอาดผสมให้เข้ากันดี ถ้าเกิดตะกอนคล้ายวุ้นหนา แสดงว่าเพกตินมาก ถ้าวุ้นบาง แสดงว่ามีเพกตินปานกลาง ถ้าเป็นตะกอนเล็ก ๆ ลอยอยู่ทั่วไป แสดงว่ามีเพคตินน้อย

ควรทานวุ้นน้ำหมักหรือไม่?

เพกตินยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่

1. เพกตินที่ละลายน้ำได้ ซึ่งยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยคือ

High Methoxyl Pectins (HMP) ซึ่งมีเมทอกซิล (รูปหนึ่งของเมธิลแอลกอฮอล์) ตั้งแต่ 8.16% เป็นต้นไป  ซึ่งจะเกิดเป็นเจลได้ในสภาวะที่มีน้ำตาลและกรดเหมาะสม  เจลจะมีความคงตัว ความหนืดสูง ทำให้เกินรูปทรง  มักใช้ในการเติมอาหารจำพวกแยม เยลลี่ ผลไม้กวน

Low Methoxyl Pectin (LMP) ซึ่งจะเกิดเป็นเจลได้เมื่อมีไอออนของโลหะ เช่น แคลเซียมไอออน หรือแมกนีเซียมไอออน  เจลจะมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มกว่า จึงใช้ในการเติมลงในโยเกิร์ต นมรสช็อคโกแลต เป็นต้น

2. เพกตินที่ไม่สามารถละลายน้ำได้ (โปรเพกติน) แต่เมื่อทำปฏิกิริยากับกรด หรือแอลกอฮอล์จะสามารถละลายน้ำได้เนื่องจากไฮโรเจนจากกรดจะเข้าไปแทนที่แคลเซียม หรือแมกนีเซีมในเพกตินประเภทนี้

3. เพกตินที่มีโครงสร้างของกรดกาแลคทูโรนิกที่ม่มีหมู่ของเมทอกซิล  เพกตินประเภทนี้จะไม่เกิดเป็นเจล

ในสภาวะธรรมชาติเพกตินมักจะอยู่ในรูปแบบที่ไม่ละลายน้ำ (โปรเพกติน) และจะอยู่รวมกับสารอื่น เช่น เซลลูโลส แคลเซียม ในกระบวนการหมักจะทำให้เกิดกรดซึ่งจะไปทำปฏิกิริยาทำให้เป็นเพกตินที่ละลายน้ำได้ทั้งแบบ HMP (ซึ่งเป็นเจลได้ในสภาวะที่มีน้ำตาลและกรดเหมาะสม) และ LMP (ซึ่งจะจับตัวเป็นชั้นเจลเมื่อมีไอออนของโลหะ เช่น แคลเซียมไอออน หรือแมกนีเซียมไอออน) 

ปัญหาที่น่ากังวัลคือปริมาณของโครงสร้างเมธิลแอลกอฮอล์ที่อยู่ใน HMP  จึงไม่ควรที่จะบริโภควุ้นที่อยู่ในน้ำหมักเมื่อยังมีอายุหมักน้อย (เช่น 3-4 เดือน)  เมื่อทิ้งวุ้นไว้นานตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไปเมธิลแอลกอฮอล์ที่ปนเปื้อนจะระเหยไปบางส่วน  และ HMP บางส่วนอาจจะแปลงไปเป็น LMP ทำให้ได้ชั้นวุ้นน้ำหมักที่มีความนุ่มมากขึ้น ไม่จับตัวเป็นวุ้นแข็งๆ

สรุปก็คือถ้าจะบริโภคน่าจะต้องรอให้วุ้นมีอายุหมักมาก (ควรจะ 2-3 ปีขึ้นไป) เพื่อหลีกเลี่ยงพิษจากเมธิลแอลกอฮอล์ที่ปนเปื้อนในวุ้นน้ำหมัก  ถ้าจะใช้เมื่อมีอายุหมักน้อยควรจะใช้ทาภายนอกเท่านั้น

คุณประโยชน์ของวุ้นน้ำหมัก

คุณสมบัติการยึดเกาะเป็นเจลของเพกตินทำให้สามารถนำมาใช้ภายนอกในหลายๆ กรณี เช่น ใช้รักษาแผลสด, แผลเริม, งูสวัด หรือบำรุงผิวพรรณ แต่ขอให้ระวังการปนเปื้อนของเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำหมักในกรณีที่ใช้กับแผลเปิด

การนำเอาเพกตินผสมร่วมในสูตรอาหารมีผลต่อกระบวนการเมแทบอลิซึมและการย่อย เช่น ผลต่อการดูดซึมกลูโคส ผลต่อระดับคอเลสเตอรอล มีการศึกษาจำนวนมากทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ที่แสดงถึงประสิทธิภาพของเพกตินที่รับประทานในการลดอัตราการใช้น้ำตาลและการผลิตอินซูลินในผู้ป่วยเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (เบาหวานชนิดที่ 2) ซึ่งโดยปกติจะทำการรักษาโดยการควบคุมอาหารเป็นอันดับแรก นอกจากนั้นการนำเอาเพกตินผสมร่วมในสูตรอาหารยังสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลได้ ทั้งนี้ขึ้นกับระดับคอเลสเตอรอลในเลือดที่เป็นอยู่เดิมและอาหารที่รับประทานเป็นประจำ

นอกจากนั้นเพกตินยังมีผลยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งและมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักตัวแต่ไม่มีผลรบกวนการดูดซึมแร่ธาตุในร่างกาย 

การใช้เพกตินเป็นสารสำคัญในตำรับยาเพื่อรักษาอาการท้องเสีย โดยเพกตินช่วยกระตุ้นการเจริญของเนื้อเยื่อบุผิวในลำไส้ใหญ่ หรือไปลดการยึดติดเยื่อบุผิวในลำไส้ใหญ่ของเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค

การทดสอบเพกตินกับยาฮอร์โมนเพื่อรักษาหนูทดลองที่ป่วยเป็นลูกกระดูกพรุนซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่ลำไส้แต่สลายตัวเร็วมาก การใช้เพกตินเป็นสารยึดติดจะช่วยชะลอการสลายตัวของยาฮอร์โมนทำให้อยู่ในระบบทางเดินอาหารได้นานขึ้น และออกฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิมถึง 2.5 เท่า  มีความเป็นไปได้ที่เพกตินในน้ำหมักจะดูดซับเอ็มไซน์ และฮอร์โมนต่างๆ เข้าไปในวุ้น  และช่วยทำให้การดูดซับเข้าไปในร่างกายมีประสิทธิภาพสูงกว่าการดื่มน้ำหมักโดยตรง

การใช้เพกตินในขนาดสูงอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ซึ่งต้องให้ความสำคัญและศึกษาเพิ่มเติมต่อไป  การใช้เพกตินร่วมกับยาอื่นต้องระมัดระวังเนื่องจากเพกตินสามารถเกิดอันตรกิริยากับตัวยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่มีประจุบวกหรือเพกตินอาจดูดซับตัวยาไว้ทำให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ 

ดังนั้นจะเห็นว่าทุกๆ อย่างมีทั้งคุณ และโทษ  ไม่มีอะไรเป็นยาวิเศษรักษาทุกโรค  การเลือกใช้ควรเข้าใจคุณสมบัติ  ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และควรทำความเข้าใจว่าควรจะ หรือไม่ควรจะบริโภคพร้อมกับอะไร

ปัจจัยการเกิดวุ้นในน้ำหมัก

ฟังแบบนี้แล้วเพื่อนๆ คงอยากลองวิชาเหมือนผม  ก็คงถามๆ ตัวเองว่าทำอย่างไรให้ได้วุ้นน้ำหมักเยอะๆ  จากข้อมูลข้างบนพอจะสรุปปัจจัยในการเกิดน้ำหมักได้ดังนี้ :

1. ชนิดของผลไม้ที่นำมาใช้หมัก  ผลไม้ที่มีเพกตินสูงมีโอกาสเกิดวุ้นมากกว่า

2. การหั่นผลไม้ เมื่อหั่นเป็นชิ้นเล็กลงจะทำให้กรดที่เกิดจากการหมักมีโอกาสสัมผัสกับเพกตินชนิดไม่ละลายน้ำ (โปรเพกติน) ที่อยู่ในเนื้อผลไม้มากกว่า และสกัดเอาเพกตินออกมาได้เร็วกว่า  ทำให้มีโอกาสเกิดวุ้นน้ำหมักได้เร็วกว่าการหมักทั้งลูกโดยไม่หั่นเลย

3. ปริมาณของน้ำตาลในน้ำหมัก และระดับ pH ของน้ำหมัก (โมเลกุลเพกตินมีความเสถียรสูงที่ pH 2.5-4.5 หาก pH สูงกว่า 4.5 โมเลกุลของเพกตินจะค่อยๆ สลายตัวระหว่างสกัด  ระดับที่เหมาะสมที่สุดคือ 3.2)  การเร่งการเกิดกรดและแอลกอฮอล์ในน้ำหมักโดยการใส่หัวเชื้อจากน้ำหมักเดิม อาจจะช่วยเพิ่มปริมาณเพกตินที่สกัดได้   นอกจากนั้นการแยกวุ้นมาหมักต่อด้วยการเติมน้ำตาลเข้าไปน่าจะช่วยเพิ่มการเป็นเจลของเพกตินที่ละลายอยู่ในน้ำได้ในระด้บหนึ่ง

4. ปริมาณของไอออนของโลหะ เช่น แคลเซียมไอออน (พบมากในน้ำปูนใส)  หรือแมกนีเซียมไอออน พืชที่มีแคลเซียมสูงจึงอาจจะมีโอกาสเกินวุ้นมากกว่า เช่น กะหล่ำปลี กล้วย บลอคโคลี กีวี คะน้ำ ใบยอ หอมหัวใหญ่

5. อุณหภูมิ  โดยปกติแล้วเพกตินจะละลายได้มากกว่าที่อุณหภูมิสูงกว่า  แต่อาจจะมีผลต่อคุณภาพของวุ้น  โดยการสกัดที่อุณหภูมิต่ำกว่าจะได้วุ้นที่มีความหนืดมากกว่า

6. ข้อสุดท้ายฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวกันโดยตรง  แต่การไม่ไปเขย่ารบกวนน้ำหมักมากนักจะทำให้มีโอกาสเกิดชั้นวุ้นมากกว่า

7. การปนเปื้อนของเอนไซม์ที่ย่อยสลายเพกติน ในการผลิตไวน์โดยเฉพาะในขั้นตอนกรองไวน์  ผู้หมักจะไม่ค่อยชอบเพกติน เพราะจะทำให้น้ำไวน์ขุ่น ซึ่งถ้าเป็นไวน์ของผลไม้ที่มีเพกตินมากจะต้องมีการเติมเอนไซม์เพกติเนส (pectinase) ลงไปช่วยเร่งการย่อยเพกติน  ในธรรมชาติเชื้อราบางชนิดก็สามารถสร้างเอนไซม์ที่ย่อยสลายเพกตินได้เหมือนกัน  ดังนั้นความสะอาดในการเตรียมวัตถุดิบ  และการไม่เปิดฝาถังน้ำหมักบ่อย จะช่วยลดโอกาสการปนเปื้อนของเชื้อราที่สร้างเอนไซม์ย่อยสลายเพกติน

 

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สูตรน้ำยาต่างๆ จากน้ำหมักสมุนไพร


สูตรน้ำยาต่างๆ จากน้ำหมักสมุนไพร

             อย่างที่สัญญาไว้ค่ะว่าจะเอาสูตรในการทำน้ำยาต่างๆมาเขียนบล๊อคให้สำหรับท่านที่สนใจจะลองทำดูบ้าง ซึ่งไม่ยากเลยค่ะ แต่เนื่องจากบางคนยังไม่เคยทำ ก็เลยกังวลไปต่างๆนาๆ กลัวว่าทำแล้วจะเป็นน้ำยาไหม เหลวไปหรือเหนียวไปหรือเปล่า หรือว่าทำแล้วจะกล้าใช้หรือเปล่า

           เอาเป็นว่า ไม่ต้องกังวลนะคะ ถึงแม้ครั้งแรกเราจะทำแล้วผิดพลาด น้ำยาไม่เหนียวบ้าง ก็ไม่ต้องตกใจค่ะ เพราะแก้ไขได้ แต่ที่อยากแนะนำก็คือ ในช่วงที่เราเติมน้ำหมัก ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนสุดท้ายนั้น พยายามเติมทีละน้อย แล้วค่อยๆกวนไปเรื่อยๆ จนเราสังเกตดูระดับความหนืด เมื่อได้ที่แล้วเราก็หยุดเติม ไม่จำเป็นต้องใส่ทั้งหมดที่เราเตรียมไว้ก็ได้ค่ะ อย่างที่บอกค่ะว่าคุณสมบัติของน้ำหมักแต่ละชนิด อาจจะทำปฏิกริยากับสารตั้งต้นต่างกัน ทั้งนี้ เพราะการทำน้ำยาต่างๆเหล่านี้ เราทำแบบใช้ในครัวเรือน จึงอาจจะไม่ได้ชั่ง ตวง ให้ได้มาตรฐานเท่ากันทุกครั้ง ทั้งหมดทั้งปวงจึงต้องอาศัยการสังเกตด้วยค่ะ


น้ำหมักเหล่านี้ เตรียมไว้สำหรับทำน้ำยาต่างค่ะ ตั้งไว้ให้ตกตะกอนก่อน เวลาเอาไปทำน้ำยาต่างๆจะได้ของใช้ที่มีสีสันสวยงาม และไม่น้ำยาไม่ตกตะกอนหากต้องเก็บไว้นานๆ

ในนี้มีน้ำหมักมะนาว น้ำหมักมะขามสีน้ำตาลอ่อน และมะเฟือง สีเข้มที่สุด ทุกขวด รสชาติเปรี้ยวจี๊ดจับใจและยังไม่เกิดส่าเหล้าเลยค่ะ

 
 

แต่ก็เกิดวุ้นกันแล้วทุกถัง ถังละนิดถังละหน่อย



วุ้นนี้ได้จากการหมักผลไม้รสเปรี้ยวหลายๆชนิดปนกัน เคยตักเอาน้ำมาใช้หลายครั้งแล้ว และเติมน้ำใหม่เพิ่มเข้าไป เติมน้ำตาล ก็ยังคงเปรี้ยวเหมือนเดิม และเกิดชั้นวุ้นทุกครั้งที่เติมน้ำ



แม้แต่ดอกอัญชันที่หมักไว้ใช้สี ก็ยังเกิดวุ้นกะเค้าด้วย สีสวยจริงๆ

แชมพูสมุนไพรที่ทำกันส่วนใหญ่จะใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการนำน้ำหมักสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการบำรุงเส้นผมมาเป็นส่วนผสม ซึ่งในแต่ละขั้นตอนการผลิต อาจมีการปนเปื้อนจุลินทรีย์ และความเป็นกรด-ด่างต่ำกว่ามารตฐาน

การใช้น้ำหมักสมุนไพรใส่ลงในแชมพู อาจจะทำให้แชมพูมีความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้บ้าง ทั้งเรื่องการตกตะกอน การเปลี่ยนสีเมื่อต้องเก็บนานๆ

ตามมาตรฐานผลิภัณท์ชุมชน กำหนดให้แชมพูต้องมีความเป็นกรด-ด่าง ต่ำกว่า 5 ซึ่งเราสามารถหากระดาษลิตมัสที่เด็กๆเค้าใช้ทดลองกันในวิชาวิทยาศาตร์มาทดสอบได้ค่ะ

สมุนไพรยอดนิยมเอามาทำแชมพูสระผม ก็คือมะกรูด ทำให้ผมดกดำ นุ่มสลวย , ดอกอัญชันผมดก , ขิง รักษาผมร่วง ,ตะไคร้ แก้ผมแตกปลาย และขจัดรังแค , ว่านหางจระเข้ ทำให้ผมลื่น นุ่มสลวย และรักษาแผลบนหนังศีรษะ , น้ำมันมะพร้าว ทำให้ผมดก

สูตรแชมพูสระผม

1 แชมพูออย EMAL 28 1 กิโล ราคากิโลละ 47 บาท

2 น้ำเกลือ 250 ซีซี (ประมาณ 1 ขวดน้ำดื่มขนาดเล็ก)

3 น้ำหมักสมุนไพร 1.5 ลิตร

4 ลาโนลีน 30 กรัม เป็นสารปรับสภาพเส้น และเคลือบเงา

5 กรีเซอรีล หรือ PEG-7 10 กรัม ปรับสภาพเส้นผม เพิ่มความชุ่มชื่นแก่หนังศรีษะ

****ลาโนลีน และกรีเซอรีล ให้ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือจะใช้ทั้งสองอย่างเลยก็ได้ ลาโนลีนราคาไม่แพง แต่ กรีเซอรีลที่เค้าเรียกว่า PEG นั้น จะเป็นสารตัวหลักที่ใช้ผลิตเครื่องสำอาง ราคาจะแพงหน่อย ขีดละร้อยกว่าบาท และหาซื้อยากเพราะราคาสูง ร้านค้าชุมชนจึงไม่นิยมเอามาขาย บางทีก็เรียกว่า วิตามินอี ซึ่งสารตัวนี้เราจะเห็นว่าถูกระบุไว้เป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของเครื่องสำอางแบรนด์นอก ที่ขายราคาแพงส่วนใหญ่จะมี PEG เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย *******

******สารกันเสีย น้ำหอม สี********สามอย่างนี้จะใส่ก็ได้ ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ

ถ้าไม่ใส่ก็จะได้น้ำยาที่มีสีธรรมชาติ หรือจะใช้สีจากดอกอัญชัน หรือสีเขียวของใบฟ้าทลายโจรก็ได้ค่ะ ส่วนน้ำหอมก็แล้วแต่ชอบนะคะ ถ้าจะใส่กลิ่นสำหรับแชมพู ก็แนะนำให้ใช้กลิ่นโดฟ หรือกลินลาเวนเดอร์ หรือกลิ่นแชมพูที่เราชอบ ลองไปถามดูที่ร้านค่ะ เลือกกลิ่นหอมสะอาด ชื่นใจ ราคาไม่แพงค่ะ ออนซ์ละประมาณ 40 – 50 บาท ใส่แต่น้อยนะคะ ลองดมดูก่อนว่าหอมหรือยัง อย่าไปเชื่อตามแม่ค้าที่บอกว่า 1 ขวดใส่ได้ครั้งเดียว เพราะใส่มากจะฉุนค่ะ...

ขั้นตอน : นำหัวแชมพูใส่ถังทั้ง 1 กิโล แล้วกวนไปในทิศทางเดียวกันจนเป็นสีขาวขุ่น ใช้เวลาประมาณ 15 นาที แล้วก็เติมน้ำเกลือ กวนต่อจนหนืด แล้วเติมน้ำหมัก กวนจนได้ความหนืดที่ชอบใจแล้ว ก็ใส่สารบำรุงผมตัวอื่นๆที่เราต้องการได้เลยค่ะ เสร็จแล้วก็รอให้ฟองยุบ กรอกใส่ขวด ใช้ได้เลยค่ะ

ครีมนวดผม

1 .Rinse Compound T-42 4 ขีด ราคากิโลละ 152 บาท

2 .กัวกัม (Guargum) สารเพิ่มเนื้อครีม (ตัวเดียวกับสารเพิ่มเนื้อในโลชั่น) 2 ขีด ราคากิโลละ 139 บาท

3 .น้ำหมักสมุนไพร หรือน้ำดอกอัญชัน 3 ลิตร

กลิ่น สี ตามต้องการ

ขั้นตอน : ให้เอา 1 2 และ 3 ตั้งไฟให้เดือด คนไปเรื่อยๆ จนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วรอให้อุ่น เติมกลิ่น สี หรือเติมวิตามินป้องกันผมแตกปลาย เท่าที่เราหาซื้อได้

***สารที่ซื้อมาทำครีมนวดผม ราคาอาจจะแพงนิดหน่อย แต่ 1 กิโล ทำได้หลายครั้งค่ะ ที่ไม่ทำครั้งเดียว เพราะจะได้ปริมาณที่เยอะมาก อาจจะมากถึง 10 ลิตร ซึ่งคงใช้ไม่ทันแน่ ***

สบู่เหลว สมุนไพร

1 หัวแชมพู (EMAL AD 25) 1 กิโล ราคากิโลละ 43 บาท

2 น้ำเกลือ 250 ซีซี (ขวดน้ำดื่มเล็ก)

3 น้ำหมักสมุนไพร 1.5 ลิตร

4 กลิ่นสบู่ มีทั้งลักษณ์ และกลิ่นจอนห์สัน หรือจะไม่ใส่ก็ได้ค่ะ จะได้สบู่เหลวกลิ่นน้ำหมัก ธรมชาติดี

ขั้นตอน : กวนหัวแชมพูไปในทิศทางเดียวกัน จนเป็นเนื้อครีมเปลี่ยนจากสีขาวใสเป็นครีมขุ่น โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่อยเติมน้ำเกลือและคนไปเรื่อยๆ จนเนื้อครีมเริ่มหนืด ให้เติมน้ำหมัก โดนทยอยใส่นะคะ ใส่ไป กวนไป และก็สังเกตดูว่า น้ำยาหนืดพอหรือยัง ถ้าน้ำยาเริ่มเหลว ก็ให้หยุดเติมน้ำหมัก อาจจะไม่ต้องเติมหมดทั้งลิตรครึ่ง แต่ให้สังเกตขั้นตอนตรงนี้ค่ะ เสร็จแล้ว ก็ใส่สี กลิ่น แล้วก็รอให้ฟองยุบ กรอกใส่ขวดเอาไว้ใช้ หรือแจกจ่ายเพื่อนฝูงได้เลยค่ะ

น้ำยาปรับผ้านุ่ม

1 . QUAT HI-Q 5% 1 กิโล ราคากิโลละ 161 บาท

2 น้ำหมัก 2 ลิตร

3 น้ำสะอาด 8 ลิตร

4 หัวน้ำหอม อันนี้สำคัญ ค่ะ สำหรับปรับผ้านุ่ม เพราะต้องการความหอมที่คงทน แต่ถ้าหาซื้อหัวน้ำหอมไม่ได้ ก็ใช้กลิ่นหอมแบบที่เราทำแชมพูก็ได้ค่ะ เพียงแต่ว่าให้เลือกกลิ่นที่เหมาะกับเสื้อผ้า เช่นกลิ่นหอมแดดอ่อนๆแบบคอมฟอรท์

ขั้นตอน : เอา 1 และ 3 ไปต้มให้เดือด กวนให้ละลาย แล้วยกลงรอให้อุ่น เติมน้ำหมัก ใส่สี กลิ่น แล้วก็ใช้ได้เลยค่ะ

น้ำยาปรับผ้านุ่มง่ายมากเลยค่ะ ใช้แล้ว ทำให้ผ้านุ่ม ลื่น และหอม ที่เราไปซื้อตามท้องตลาด เค้าก็ใช่สูตรนี้แหละ ผสมน้ำเยอะๆ แต่ทำให้กลิ่นหอมติดทนนาน

พอถอดสูตรออกมาแล้ว ก็แทบไม่อยากเสียเงินซื้อสินค้าเหล่านี้ไปเลย

*****การเจือจางน้ำเกลือ ให้ใช้เกลือ 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน เอาไปต้ม และกรองให้สะอาด เก็บไว้ใช้เป็นสารทำให้ข้นได้กับสารตั้งทุกชนิดค่ะ *******

ยังมีสูตรอะไรที่ยังต้องการอีกไหมคะ สำหรับน้ำยาเอนกประสงค์ คิดว่าหาสูตรได้ไม่ยากนะ ชาวบ้านสวนเราทุกครัวเรือนทำใช้กันเองหมดแล้ว สารตั้งต้นยอดนิยมคือ N70 ตัวนี้กิโลละ 80 บาท ผสมแล้วจะได้น้ำยาประมาณ 10 ลิตรค่ะ N70 ใช้ทำน้ำยาล้างจาน ซักผ้า ล้างรถ ล้างห้องน้ำได้ค่ะ แต่ถ้าจะทำสบู่เหลว หรือแชมพู ให้ใช้หัวแชมพูซึ่งไปบอกที่ร้านได้เลยค่ะว่าจะเอาไปทำแชมพู

 

ขอบคุณ ข้อมูลจากบ้านสวนพอเพียง