วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

Corn Cider Vinegar ข้าวโพดไซเดอร์



               จำหน่าย เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ดื่มได้ทุกเพศทุกวัยดูแลสุขภาพด้วยโภชนาการบำบัดกันเถอะ เรารู้ว่าสุขภาพของคนในครอบครัวสำคัญที่สุดสำหรับคุณ Natural Corn Cider Vinegar เครื่องดื่ม คอร์นไซเดอร์วินิก้า (Corn Cider Vinegar) สกัดจากธัญพืชข้าวโพดอ่อนที่มีคุณค่าโภชนาการสูงมาก เช่น โฟเลท ( Folate ) วิตามิน เอ วิตามิน บี 6 โปตัสเซียมสูง แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ฯลฯ และเป็นตัวสำคัญในการต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัส เครื่องดื่มคอร์นไซเดอร์วินิก้า ไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร
            ประโยชน์:· สารเฟอรูลิกแอสิด (Ferulic Acid) ที่มีมากในข้าวโพดช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ถึง 50% DPPH · ช่วยชะลอความชรา (Anti-aging) ปรับสมดุลในร่างกายและกำจัดพิษในร่างกาย (Detox) · ช่วยบำรุงผิวพรรณ· ป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด บำรุงสายตา· ป้องกันโรคเบาหวาน โรคมะเร็ง ลดคลอเรสเตอรอล· ป้องกันการเสื่อมของกระดูก เนื้อเยื่อและผิวหนัง โรคในระบบประสาท · ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ · ช่วยกำจัดนิ่วในไต และในถุงน้ำดี· เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มความแข็งแรง บำรุงเส้นผมและหนังศรีษะ · ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในกล้ามเนื้อ ที่ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย เนื่องจากการออกกำลังกาย· ช่วยสร้างเซลล์กล้ามเนื้อแบบไม่มีไขมัน ช่วยระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร· ป้องกันผลจากการได้รับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตได้ · ช่วยลดน้ำหนักจากไขมันบนร่างกาย โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพ ข้อบ่งใช้เฉพาะทาง: วัตถุประสงค์ วิธีใช้
เพื่อเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ: ชะลอความชรา ปรับสมดุลในร่างกาย กำจัดพิษในร่างกาย (Detox)
           บรรเทาอาการปวดหัว ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ปรับระดับกรดและด่างในร่างกายให้อยู่ในสมดุล ทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ บรรเทาอาการปวดข้อและโรคเกาต์ กำจัดนิ่วในไตและในถุงน้ำดี บำรุงสายตา และช่วยให้ระบบปัสสาวะเป็นปกติ คอร์นไซเดอร์วินิก้า ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 2-3 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
             เพื่อช่วยระบบการย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร คอร์นไซเดอร์วินิก้า 1/3 ช้อนชา กับ น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มก่อนอาหาร 5 นาที โดยอมไว้ในปาก 3-5 วินาทีแล้วค่อยกลืน จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น
เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ คันคอ คอร์นไซเดอร์วินิก้า 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำครึ่งแก้ว กลั้วคอ ทุกครึ่งชั่วโมง จะช่วยขับพิษออกจากคอได้



เพื่อกำจัดไขมันส่วนเกิน บนร่างกาย คอร์นไซเดอร์วินิก้า 2 ส่วน ต่อ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Virgin Olive Oil) 1 ส่วน นำมานวดกดบริเวณที่ต้องการลดอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือจะนวดตามข้อที่รู้สึกปวด
เพื่อลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คอร์นไซเดอร์วินิก้า กับ น้ำอุ่นในในปริมาณ 1-2 ถ้วย ลงในอ่างอาบน้ำ แล้วลงไปแช่พร้อมกับนวดตัว

         เพื่อช่วยให้เส้นผมมีน้ำหนัก ขจัดรังแค ป้องกันผมร่วง คอร์นไซเดอร์วินิก้า 2 ช้อนโต๊ะลงในถ้วย แล้วนำสำลีก้อนที่เปียกน้ำจุ่มลงไป ทาให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง แล้วสระออกตามปกติ
           เพื่อช่วยผู้ที่เป็นโรคความดันสูง และ โรคเบาหวาน คอร์นไซเดอร์วินิก้า 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3-5 ครั้ง ลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์และไขมันจากสัตว์ลง และออกกำลังกายร่วมด้วย จะช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก
          เพื่อช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษ คอร์นไซเดอร์วินิก้า 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว จิบครั้งละ 1-2 ช้อนชาทุก 5 นาที จะช่วยให้อาการดีขึ้น

          เพื่อช่วยบรรเทาอาการผิวหนังไหม้ ทาคอร์นไซเดอร์วินิก้า ที่ผิวและพันทิ้งไว้
เพื่อช่วยให้ผิวพรรณสะอาดนวลเนียนขึ้น คอร์นไซเดอร์วินิก้า ผสมกับน้ำสะอาดอย่างละ 1 ถ้วย นำมาทาบางๆให้ทั่วตัว

เพื่อใช้แช่ผักที่มีสารพิษตกค้าง คอร์นไซเดอร์วินิก้า
2-3 ช้อนโต๊ะในอ่าง แล้วนำผักลงแช่
 เพื่อใช้ลดความอ้วน โดยไม่มีผลกระทบข้างเคียงต่อสุขภาพ คอร์นไซเดอร์วินิก้า ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ
2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

แอปเปิ้ลไซเดอร์ สูตรลับความสวยของคนรักสุขภาพ



       พูดถึงแอปเปิ้ลหรือราชาแห่งผลไม้เป็นได้เรียกความสนใจจากสาวๆ กันได้ถ้วนหน้า ด้วย
สรรพคุณมากมาย ทั้งให้วิตามินชนิดต่างๆ บำรุงผิวพรรณให้สดใสชุ่มชื่น และคุณสมบัติสำคัญที่สุด นั่นก็คือ
การลดความอยากอาหาร แล้วยังช่วยเรื่องระบบของการย่อยอาหารได้ดีเยี่ยม นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้
เหล่าบรรดาผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพนำแอปเปิ้ลมาเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักตัวชูโรงช่วยรักษาสุขภาพ ซึ่ง
ได้ผลดีและมีคุณค่าอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
    บรรดาอาหารสุขภาพที่น่าสนใจ ก็คือ แอปเปิ้ลไซเดอร์หรือที่เราเรียกกันว่า น้ำส้มสายชูหมัก ที่เกิด
จากการหมักแอปเปิ้ลสด ซึ่งปลูกโดยไม่มีการใช้สารเคมีเจือปนนำมาบด และปล่อยให้เกิดการหมักตัวใน
ถังไม้ที่มีคุณภาพดี พอถึงอายุเหมาะสม น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล จะประกอบไปด้วยเส้นใยบางๆ ที่
เรียกว่า มาเธอร์ (Mother) เห็นได้ชัดเมื่อยกขึ้นส่องกับแสง
เส้นใยบางๆ ที่มีมาเธอร์อยู่ในแอปเปิ้ลไซเดอร์ คือส่วนที่มีสารอาหารมากที่สุด และดีต่อระบบย่อย
อาหารอย่างมาก การผ่านความร้อนจะทำลายมาเธอร์ที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูหมัก สิ่งนี้จึงทำให้น้ำส้มสายชู
หมักแอปเปิ้ลนี้แตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไปในท้องตลาดที่ผ่านการกลั่นกรอง

    ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล อุดมด้วยแร่ธาตุอาหารต่างๆ เช่น โพแทสเซียม ซึ่งเป็นสาร
อาหารที่สำคัญของเซลล์ในร่างกาย ช่วยให้เซลล์มีความแข็งแรง และเป็นส่วนที่ช่วยให้เส้นเลือดแดง
ของมนุษย์มีความยืดหยุ่นได้ดี เบต้าแคโรทีน พบในแอปเปิ้ลไซเดอร์สามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้
ง่าย ผลการวิจัยพบว่า การบริโภคอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด
โรคมะเร็ง กรดอะซิติก สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก กรดนี้สารมารถดึงไขมันออกจากเซลล์ไปใช้
เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานต่อไปได้ นอกจากนี้ยังมี ไฟเบอร์ ช่วยในการดึงคอเลสเตอรอลออกจากร่าง
กายได้เป็นอย่างดี และวิตามินต่างๆ อาทิ ซี บี1 บี2 และ เอ
แอปเปิล ไซเดอร์ วีนีการ์ (APPLE CIDER VINEGAR) VS
น้ำผึ้ง(HONEY BEE)
ส่วนที่ 1 ว่าด้วยแอปเปิล ไซเดอร์ วีนีการ์ (ACV)
ACV คือ น้ำส้มสายชูหมักจากผลแอปเปิล มีคุณสมบัติเป็นกรดสูง รสเปรี้ยวจัด มีส่วนประกอบของ
กรด 5 % ( 5%Acetic Acid) มีสีเหลืองคล้ายสีชา มีส่วนประกอบของธาตุโพแทสเซี่ยมสูง
ซึ่งธาตุโพแทสเซี่ยมมีคุณสมบัติ ช่วยในการแบ่งเซลล์ ถ้าร่างกายขาดธาตุนี้ ร่างกายจะมีอาการ
ผิดปกติคือ เติบโตช้า แก่เกินวัย ผมร่วง และหงอกเร็ว ฯลฯ และ ACV ยังประกอบด้วยธาตุ
อาหารกว่า 30 ชนิด มีวิตามินมากกว่า 6 ชนิด มีกรดอะมิโน และสารเพ็คติน ล้วนแต่เป็น
ประโยชน์แก่ร่างกายทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติเป็นยาอีกด้วย คือเป็นพวก ยาปฏิชีวนะ ยา
ฆ่าเชื้อ และมีเอนไซม์หลายชนิดรวมอยู่ด้วย
ACV ช่วยร่างกายได้หลายประการ กล่าวคือ
1. ชะลอความแก่ ช่วยให้เป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ
2. ช่วยย่อยอาหาร คือช่วยระบบย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
3. ช่วยระบบหายใจ แก้ไซนัส แก้เจ็บคอ แก้หวัด แก้การเกิดเสมหะ
4. ช่วยลดน้ำหนักได้ดี
5. ช่วยลดการปวดข้อ
6. แก้โรคคัน กำจัดรังแค แก้ผมแตกปลาย
7. ช่วยความจำให้ดีขึ้น
8. ป้องกันโลหิตจาง
9. แก้อ่อนเพลีย
ส่วนที่ 2 ว่าด้วยน้ำผึ้ง (HONEY BEE)
น้ำผึ้งเป็นผลิตผลของน้ำหวานจากดอกไม้ แหล่งน้ำหวานอื่นๆ ที่ผึ้งเก็บมา และผ่านการเปลี่ยน
แปลงทางเคมีจากเอนไซม์ในต่อมน้ำลายของผึ้งที่ขับออกมา แล้วเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคส
และฟรุกโตส ให้เป็นน้ำตาลแปรรูป ซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว ได้แก่ น้ำตาลกลูโคส 38.19%
และเดกโทรส 31.28 % นอกจากนั้นเป็นน้ำตาลเชิงคู่ และเชิงซ้อนอีก 10% และยังมีแร่ธาตุที่
เป็นประโยชน์อีกมากมาย ได้แก่ โพแทสเซี่ยม แคลเซี่ยม โซเดียม ฟอสฟอรัส ซัลเฟอร์ เหล็ก
แมงกานีส นอกจากนั้นยังมีพวกน้ำย่อย เช่นเอนไซม์กลูโคออกซิเดส ที่ทำหน้าที่เปลี่ยน น้ำตาล
กลูโคส เป็นกรดกลูโคนิค และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ซึ่งตัวหลังนี้มีคุณสมบัติยับยั้งและทำลาย
เชื้อโรคได้ น้ำผึ้งมีวิตามินอยู่หลายชนิด ได้แก่ วิตามิน บี1 วิตามิน บี 2
ไนอาซิน วิตามิน บี 6 แพนโทซินิคแอซิค และวิตามิน ซี ในปริมาณต่างๆกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของ
ดอกไม้ องค์ประกอบสุดท้ายที่มีอยู่ในน้ำผึ้ง คือ น้ำ น้ำผึ้งที่ถูกบ่มโดยสมบรูณ์จะมีน้ำอยู่ประมาณ
17-20 % เท่านั้น
ส่วนที่ 3 ว่าด้วยการใช้แอปเปิล ไซเดอร์ วีนีการ์ ร่วมกับน้ำผึ้ง
เมื่อท่านทราบคุณสมบัติของน้ำแอปเปิล ไซเดอร์ วีนีการ์ และน้ำผึ้งแล้ว ท่านจะใช้ร่วมกัน หรือ ใช้อย่าง
เดียว ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านต้องการจะใช้เพื่อรักษา หรือป้องกันโรคอะไร ดังนี้
ช่วยชะลอความแก่ (ให้หนุ่มสาวอยู่เสมอ) นำน้ำผึ้ง 1 ส่วน ACV 1 ส่วน ผสมให้เข้ากันเป็น
อย่างดี กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ระยะตื่นนอนใหม่ๆและ ก่อนเข้านอน ควรดื่มน้ำตาม 1 แก้ว
ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ใช้ ACV อย่างเดียว 2 ช้อนชา ละลายในน้ำดื่ม 1 แก้ว
ดื่มทุกครั้ง ขณะรับประทานอาหาร
แก้ท้องร่วง ท้องเสีย ก่อนทานอาหาร 30 นาที ใช้น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ ACV 2ช้อนชา
ผสมกันแล้วดื่ม
แก้โรคไขข้ออักเสบ ให้ดื่มน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา หรือ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับ ACV 2 ช้อนชาหรือ 1
ช้อนโต๊ะ ดื่มน้ำตาม 1แก้วทุกครั้งหลังอาหาร
ช่วยลดน้ำหนักได้ดี ให้ใช้ ACV 1 ช้อนแกง ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนแกง แล้วผสมน้ำ grape fruit
ที่ไม่หวาน 1 แก้ว ดื่ม 30 นาที ก่อนทานอาหารทุกมื้อ
ช่วยให้ความจำดีขึ้น ให้ใช้ ACV 2 ช้อนชาผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มน้ำตาม 1 แก้ว ดื่มวันละ 2
ครั้ง ตื่นนอนตอนเช้าและก่อนนอน
แก้ปลายผมแตกแห้ง กำจัดรังแค หรือคันศรีษะ เนื่องจาก ACV เป็นกรดสูง และมีเอนไซม์
ประกอบด้วยหลายชนิด จึงสามารถรักษามิให้ผิวหนังมีโรครังแค หรือ ผมแห้ง หรือคันศรีษะได้
การรักษา คือ เอาสำลี จุ่มน้ำจนเปียกแล้วจุ่ม ACV แล้วนำไปนวดหนังศรีษะ ให้หมักทิ้งไว้ 2-3
ชั่วโมง(อาจจะใช้หมวกพลาสติกครอบไว้) หลังจากนั้นสระผมด้วยแชมพู หรือ นำเอา ACV ที่
อุ่นๆ ไปทาศรีษะให้เปียกจนทั่ว แล้วใช้หมวกพลาสติกคลุมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง แล้วจึงใช้น้ำธรรมดา
ล้างออก
แก้เจ็บคอ ใช้ ACV 1 ส่วน และน้ำผึ้ง 1ส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วดื่มครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ทุกๆ 4
ชั่วโมง หรือใช้ ACV อย่างเดียว 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น แล้วอมกลั้วคอ ทุก ๆ 1 ชั่วโมง กลั้ว
ในลำคอ ให้ลึก ไปถึงส่วนล่างของลำคอ แต่อย่ากลืนลงไปในกระเพาะ เมื่อการเจ็บคอบรรเทา
ลง ให้กลั้วคอต่อไปทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพราะ ACV ทำหน้าที่เป็นสารปฏิชีวนะ
แก้อ่อนเพลียและเมื่อยล้า หลังทำงานหนัก หรือหลังจากออกกำลังกาย แนะนำให้ท่านดื่มน้ำผึ้ง
ผสม ACV ท่านจะหายเพลียได้ โดยใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับ ACV 1ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำดื่ม
1 แก้วเต็ม ๆ
แก้ปวดหัว การปวดหัวที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจาก อาหารที่เรารับประทานเป็นด่างมากเกินไป
การทาน ACV ที่เป็นกรดอ่อนๆ ลงไป จะช่วยให้อาหารลดความเป็นด่าง คือเป็นกลาง การปวด
หัวก็จะหายไป หรือลดบรรเทาอาการปวดหลังลงได้ ทางที่ดี ท่านควรทาน ACV 2 ช้อนชา ผสม
กับ น้ำผึ้ง 2 ช้อนชาเต็มๆ ทุกครั้งที่ทานอาหาร
อนึ่งท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไต และโรคเบาหวาน ควรพบแพทย์สม่ำเสมอ ถ้าท่านจะทานน้ำผึ้ง
หรือ ACV ขอ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อน
อัตราส่วน
3 ช้อนชา = 1 ช้อนโต๊ะ
1 ช้อนชา = 5 มิลลิลิตร
1 ช้อนโต๊ะ = 15 มิลลิลิตร

 

เอนไซม์ คือ ตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพ


Synthetic Biology with Metabolic Pathways

We create transgenic plants and plant tissue capable of producing unnatural or “new-to-nature” products, focusing on the medicinal plant Catharanthus roseus. This reprogramming of biosynthetic pathways to produce unnatural products may lead to the development of molecules with improved pharmacological activities. For example, we have reengineered a biosynthetic enzyme to display broader substrate specificity, and transformed that enzyme into C. roseus root culture to engineer production of natural product variants.


    We can transform a reengineered enzyme into C. roseus hairy root tissue. This enables the plant to produce chlorinated, brominated and methylated versions of alkaloid products.
     Reconstitution of plant pathways in more tractable host organisms such as yeast or E. coli– often called synthetic biology- is an exciting opportunity to facilitate the production of otherwise difficult to obtain plant molecules. We are exploring ways to efficiently reconstitute individual branches of the plant alkaloid pathways in tractable host organisms, such as Nicotiana benthamiana, to improve production yields and cost.
          เอนไซม์ ( Enzyme )เอนไซม์ คือ ตัวเร่งปฏิกิริยาทางชีวภาพ เป็นสารประกอบพวกโปรตีน สามารถลดพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา เอนไซม์จะเร่งเฉพาะชนิดของปฏิกิริยา และชนิดของสารที่เข้าทำปฏิกิริยา

การเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์
                           E เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา (เอนไซม์)
                           S เป็นสารตั้งต้นเรียกว่า สับสเตรต และ P เป็นสารผลิตภัณฑ์

E + S
--------------->
ES
--------------->
E + P
สารเชิงซ้อน

ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์
        1. ชนิดของสารที่เอนไซม์ไปควบคุมปฏิกิริยา                    
        2. ความเข้มข้นของสับสเตรดเปลี่ยนตามอัตราการเกิดปฏิกิริยาของเอนไซม์
        3. ความเข้มข้นของเอนไซม์เปลี่ยนตามอัตราการเกิดปฏิกิริยาของเอนไซม์
        4. ความเป็นกรด-เบสของสารละลาย ส่วนมากเอนไซม์จะทำงานได้ดีในช่วง pH เป็นเบสเล็กน้อย แต่อย่างไรก็    ตามเอนไซม์จะเร่งปฏิกิริยาให้เกิดเร็วในช่วง pH ใดก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสับสเตรตนั้น ๆ
        5. อุณหภูมิ อุณหภูมิที่ 37 C เป็นอุณหภูมิที่เอนไซม์ส่วนใหญ่ทำงานได้ดี อุณหภูมิสูงเกินไปจะทำให้การทำงานของเอนไซม์เสื่อมไป เพราะเอนไซม์เป็นโปรตีนเมื่ออุณหภูมิสูงเอนไซม์ถูกทำลายธรรมชาติไป
        6. สารยับยั้งปฏิกิริยาของเอนไซม์ สารบางชนิดเมื่อรวมตัวเอนไซม์จะทำให้เอนไซม์ทำงานช้าลงหรือหยุดทำงานได้
        7. สารกระตุ้น เอนไซม์บางชนิดต้องการไอออนพวกอนินทรีย์เป็นตัวกระตุ้น จึงจะเกิดการทำงานและเกิดอัตราการเกิดปฏิกิริยา
            ระบบย่อยอาหาร           อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหาร
            การย่อยในปาก
   
การย่อยในร่างกายของคนแบ่งเป็น 2 แบบ แบบแรก คือการย่อยเชิงกล โดยการใช้ฟันบดเคี้ยว หรือการบีบรัดของทาง เดินอาหาร แบบที่ 2 คือ การย่อยทางเคมี โดยการใช้น้ำย่อยหรือเอนไซม์ ทำให้อาหารมีโมเลกุลเล็กลง
การย่อยเชิงกลเริ่มตั้งแต่ปาก ในปากมีฟันทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้ละเอียด คนมีฟัน 2 ชุด ชุดแรก เรียกฟันน้ำนม มี 20 ซี่ ชุดที่ 2 เรียกฟันแท้มี 32 ซี่ บางคนอาจไม่มีครบเนื่องจากฟันขึ้นไม่ครบ
      นอกจากนั้น แล้ว ในปากยังมีน้ำลายที่ผลิตจากต่อมน้ำลายประมาณวันละ 1-1.5 ลิตร ในน้ำลายมีเอนไซม์อะไมเลสสามารถย่อย แป้งให้เป็นน้ำตาลได้ แป้งที่ถูกย่อยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลคู่ คือ น้ำตาลมอลโทส และเอนไซม์ในน้ำลายจะทำงานได้ดีระหว่างค่าพีเอช 6.4-7.2
การย่อยในกระเพาะอาหาร
     ผนังกระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อหนาแข็งแรงมาก และยืดหยุ่น ภาวะปกติมีขนาด 50 ลบ.ซม. เมื่อมีอาหารจะขยายความจุได้ ถึง 1,000-1,200 ลบ.ซม. กระเพาะอาหารมีกล้ามเนื้อหูรูด 2 แห่ง คือ หูรูดส่วนต้นที่ต่อกับหลอดอาหาร และกล้ามเนื้อหูรูที่ต่อกับลำไส้เล็ก กระเพาะอาหารจะสร้างกรดเกลือ(ไฮโดรคลอริก)และเอนไซม์ ตามปกติอาหารจะอยู่ในกระเพาะอาหารประมาณ 30 นาที ถึง 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร
     เอนไซม์ที่กระเพาะอาหารสร้าง ได้แก่ เพปซิน ทำหน้าที่ย่อยโปรตีนโมเลกุลใหญ่ให้เป็นโมเลกุลเล็กลง แต่ยังไม่เล็กที่สุดที่จะสามารถแพร่เข้าสู่เซลล์ได้

การย่อยในลำไส้เล็ก
     อาหารจะเคลื่อนจากกระเพาะอาหารผ่านกล้ามเนื้อหูรูดเข้าสู่ลำไส้เล็ก การย่อยอาหารในลำไส้เล็กเกิดจากการทำงานของอวัยวะ 3 ชนิด คือ ตับอ่อน ผนังลำไส้เล็ก และตับ
  
ตับอ่อน     ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์หลายชนิด เช่น อะไมเลส ย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นกลูโคส ไลเพส ย่อยไขมันให้เป็นกรดไขมัน และกลีเซลรอล ส่วนเอนไซม์ทริปซิน ย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน นอกจากนี้ ตับอ่อนยังสร้างสารโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอ- เนต ซึ่งมีฤทธิ์เป็นเบสอ่อนออกมาเพื่อลดความเป็นกรดของอาหารที่มาจากกระเพาะอาหาร
  
ลำไส้เล็ก    มีลักษณะเป็นท่อยาวประมาณ 7 เมตร ขดอยู่ในช่องท้อง ลำไส้เล็กส่วนต้นต่อจากระเพาะอาหาร ยาวประมาณ 0.30 เมตร เรียก ดูโอดินัม ลำไส้เล็กส่วนกลางยาวประมาณ 2.5 เมตร เรียก เจจูนัม และส่วนของลำไส้เล็กส่วนสุดท้ายยาวประมาณ 4 เมตร เรียก ไอเลียม ผนังด้านในของลำไส้เล็กมีลักษณะเป็นปุ่มไม่เรียบ เรียกว่า วิลไล
ตับ ทำหน้าที่สร้างน้ำดีเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี จากถุงน้ำดีมีท่อมาเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัมน้ำดีจะช่วยกระจายไขมันให้แตกตัว ออกเป็นเม็ดเล็กๆ แล้วเอนไซม์ไลเพสจะทำการย่อยต่อไป จนได้กรดไขมันและกลีเซอรอล นอกจากนี้ตับยังทำหน้าที่ทำลายเชื้อ โรคและสารบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย รวมทั้งเก็บสะสมวิตามินและธาตุเหล็ก

การย่อยที่ในลำไส้เล็ก ต้องอาศัยเอนไซม์จากตับอ่อน (Pancreas)ซึ่งประกอบด้วยเอนไซม์ต่างๆดังนี้
1. ทริปซิน (Trypsin) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนหรือเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมิโน
2. อะไมเลส (Amylase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส
3. ไลเพส ( Lipase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยไขมันและกลีเซอรอล
สรุป การย่อยอาหารประเภทต่างๆ ในลำไส้เล็ก
คาร์โบไฮเดรต
แป้ง เอนไซม์ อะไมเลส ได้น้ำตาลกลูโคส
มอลโทส เอนไซม์ มอลเทส ได้ น้ำตาลกลูโคส+น้ำตาลกลูโคส
ซูโครส เอนไซม์ ซูเครส ได้ น้ำตาลกลูโคส+น้ำตาลฟรุกโทส
แลกโทส เอนไซม์ แลกเทส ได้ น้ำตาลกลูโคส+น้ำตาลกาแลกโทส
โปรตีน
โปรตีนหรือเพปไทด์ เอนไซม์ ทริปซิน ได้ กรดอะมิโน

ไขมัน
ไขมัน น้ำดี ได้ ไขมันขนาดเล็ก เอนไซม์ไลเพส ได้ กรดไขมัน + กลีเซอรอล

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

การผลิตเครื่องดื่มไซเดอร์

เบอร์รี่ไซเดอร์


เบอร์รี่และไซเดอร์ วีนีการ์


          Berry หรือ เบอร์รี่ จัดเป็นสุดยอดผลไม้ นอกจากรสชาติที่มีการผสมผสานระหว่างความเปรี้ยวและความหวานอย่างเป็นเอกลักษณ์ ยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง อาทิเช่น วิตามิน และสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง โดยมีการศึกษาถึงผลดีในการบริโภคเบอร์รี่อย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับว่า การบริโภคเบอร์รี่ส่งผลต่อความงามและสุขภาพ

        จากการวิจัยพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระของเบอร์รี่แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน โดยจากการทดสอบสารต้านอนุมูลอิสระในเบอร์รี่จะพบสารจำพวก Phenolics จาก Acai, Strawberry, Black berry, Raspberry, Goji berry, Mulberry, Blueberry, Cranberry, Red grape และ Blackcurrent เป็นต้น (Vattem et al., 2005; Zadernowski et al., 2005; Gross,2006; Schauss et al., 2006) สำหรับกลไกการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระเริ่มต้นจากปฏิกิริยาการหายใจระดับเซลล์เมื่อเกิดการคายพลังงานจะพบว่ามีอนุมูลอิสระของออกซิเจนเกิดขึ้น สารนี้จะไปทำลายโมเลกุลในระดับเซลล์ที่มันไปจับ ถ้าร่างกายมีปริมาณอนุมูลอิสระมากจะส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของกลุ่มเซลล์และเมื่อกลไกต่างๆนี้ เกิดบริเวณชั้นผิวหนังอันจะส่งผลกระทบและเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดริ้วรอย (Ferrari, 2004) ดังนั้นการบริโภคอาหารที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการช่วยชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ ซึ่งจะส่งผลทำให้มีผิวพรรณที่อ่อนเยาว์ ไม่ร่วงโรยก่อนวัย นอกจากนี้อนุมูลอิสระยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของความเสี่ยงในการก่อให้เกิดโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ (Valko et al., 2007) จากงานวิจัยของ Reed (2002) ชี้ชัดว่าการบริโภค Cranberry และ Blackcurrent จะช่วยลดปริมาณ ไขมันไม่ดี (LDL) ในเลือด เนื่องจากสารฟลาโวนอยด์ Flavonoids ที่เป็นองค์ประกอบภายในผลไม้ทั้ง 2 ชนิดนี้จะช่วยลดการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันของ LDL ซึ่งกระตุ้นการอักเสบในหลอดเลือดจากนั้นจึงนำไปสู่โรคหลอดเลือดอุดตันในที่สุด นอกจากนี้มีการนำสารสกัดในองุ่นมาทำการทดลองในหนูทดลอง สารสกัดดังกล่าวได้แก่ Resveratrol เป็นกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งพบมากในองุ่นสีแดงสามารถยับยั้งการทำงานของยีน (Gene) ที่เสื่อมประสิทธิภาพของเซลล์ ไม่ให้เกิดสารที่ส่งผลให้เกิดความเสื่อมของเซลล์กระดูก กล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อหัวใจ (Berger et al., 2008)

             นอกจากประโยชน์ด้านความงามแล้วสารต้านอนุมูลอิสระยังให้คุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพ อาทิ เช่น Goji berry จัดเป็นพืชตระกูลเบอร์รี่ที่อุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินเอ ที่มีสารตั้งต้นของ Carotenoids .ในปริมาณสูงโดยสารกลุ่มนี้มีสารช่วยบำรุงส่วนช่วยบำรุงสายตา และปรับการทำงานของเรตินาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (Gross, 2006)

         ยังมีงานทดลองอีกมากเกี่ยวกับเบอร์รี่ ได้มีการศึกษาผลของสารสกัดจาก Elderberry ต่อการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B โดยการกระตุ้นประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกัน ในการยับยั้งไม่ให้เชื้อเกาะกับผนังเซลล์เพื่อทำการเพิ่มจำนวนภายในเซลล์ (Heuer et al., 2008)

         ดังนั้นคุณประโยชน์ของเบอร์รี่ยังมีอีกมากและมีการศึกษากันมาอย่างยาวนาน ซึ่งในปัจจุบันดังจะเห็นได้ว่ามีการนำเบอร์รี่มาบริโภคกันอย่างหลากหลายในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น บริโภคผลสด นำมาเป็นส่วนผสมในอาหาร และสารผสมในยารักษาโรคต่างๆ อย่างแพร่หลาย จากการวิจัยพบว่า เบอร์รี่เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารอาหาร เช่น วิตามิน ที่มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพ โดยเฉพาะวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาส่งเสริมการมองเห็น และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ธรรมชาติซึ่งช่วยมีส่วนในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ที่ร่วงโรยไปตามวัย ส่งผลให้ผิวพรรณแลดูอ่อนวัย นอกจากนี้ยังพบว่าการบริโภคเบอร์รี่อาจส่งผลทำให้มีภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จึงจัดเป็นอาหารที่ช่วยทำให้คงความอ่อนเยาว์และยืดอายุของเราให้ยาวนานขึ้น

 อ้างอิง :

1. Vattem D.A., Ghaedian R. and Shetty K. (2005) Enhancing health benefits of berries through phenolic antioxidant enrichment: focus on cranberry. Asia Pac J Clin Nutr. 14(2):120-130.

2. Zadernowski R., Naczk M. and Nesterowicz J. (2005) Phenolic acid profiles in some small berries. J Agric Food Chem. 53:2118-2124.

3. Gross P.M. (2006) Goji’s Dozen friend of eye health. NPI Center. [Online available]: http://newhope360.com/conditions/gojis-dozen-friends-eye-health (1 December 2011).

4. Schauss A.G., Wu X., Prior R.L., Ou B., Huang D., Owens J., Agarwal A., Jensen G.S., Hart A.N. and Shanrom E.(2006) Antioxidant capacity and other bioactivities of the freeze-dried Amazonian palm berry, Euterpe oleraceae Mart.(Acai). J Agric Food Chem. 54(2):8604-8610.

5. Heuer M., Clement K., Shan C. and Thomas M. (2008) Composition for improving immune system health. Patent Application Publication.

6. Berger J.L., Kayo T., Vann J.M., Arias E.B. Wang J., Hacker T.A.,Wang Y., Raederstorff D., Allison D.B., Morrow J.D., Leeuwenburg C., Saupe K.W., Cartee G.D., Weindruch R. and Prolla T.A. (2008) A low dose of dietary resveratrol partially mimics caloric restriction and retards aging parameters in mice. Plos one. 3(6):1-10.

7. Valko M., Leibfritz D., Moncol J., Cronin M.T.D. and Mazur M. (2007) Free radicals and antioxidants in normal physiological functions and human disease. Int J Biochem Cell Biol. 39(1):44-84.

8. Ferrari C.K.B. (2004) Functional foods, herbs and nutraceticals:towards biochemical mechanisms of healthy aging. Biogerontology. 5:275-289.

9. Reed J. (2002) Cranberry flavonoids, atherosclerosis and cardiovascular health. Crit Rev Food Sci Nutri. 42:301-316.

ประโยชน์ของไซเดอร์ วีนีการ์

 ไซเดอร์ วีนีการ์ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ไซเดอร์ คือ น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำผลไม้ด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไป เนื่องจากน้ำส้มสายชูทั่วไปมักจะผลิตมาจากน้ำตาล หรือผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาล หลังจากทำการหมักแล้ว จึงนำมาทำการกลั่นให้ได้กรดน้ำส้มที่บริสุทธิ์ ในขณะที่การหมักด้วยน้ำผลไม้ด้วยวิธีธรรมชาติจะทำให้ได้กรดอินทรีย์ที่มีความหลากหลาย อีกทั้งยังได้แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในน้ำผลไม้ รวมถึงใยอาหารที่ละลายน้ำได้ซึ่งละลายอยู่ในไซเดอร์

 จากการศึกษาของ Ebihara และ Nakajima (1988) พบว่าไซเดอร์มีความสามารถควบคุมระดับกลูโคสในเลือดให้คงที่ ทำให้ไม่เกิดความอยากอาหารเนื่องจากการลดลงของระดับกลูโคสในเลือดจะทำให้เกิดความต้องการอาหารและรับประทานอาหารมากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดความอ้วนได้ (Melanson et al., 1999) นอกจากนี้ยังช่วยลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนี้อหลังจากการออกกำลังกาย ช่วยลดให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น (Mindell, 2002) แร่ธาตุที่มีอยู่มากในน้ำผลไม้ ซึ่งนำมาผลิตมีผลในการรักษาปริมาณมวลกระดูกทำให้มีผลต้านโรคกระดูกพรุน (Mindell and Johns, 1999)
 
อ้างอิง :

1. Ebihara K, Nakajima A. (1988) Effect of acetic acid and vinegar on blood glucose and insulin responses to orally administered sucrose and starch. Agric Biol Chem. 52:1311–1312.
2. Melanson K.J., Westerp-Plantenga M.S.,Saris W.H.M.,Smith F. and Campfield L.A. (1999) Blood glucose patterns and appetite in time blinded humans :Carbohydrate versus fat. Am J Physiol Regul Integr Corp Physiol.277:R337-R345.
3. Mindell E. and Johns L.M. (1999) Amazing apple cider vinegar. Keats Publishing group Inc.. Illinois, USA.
4. Mindell E. (2002) Dr. Earl Mindell’s Amazing apple cider vinegar. Mc Graw Hill Companies. New York, USA

ข้อมูลจาก website Gifferine

วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

น้ำผึ้งแท้ความชื้นต่ำเพื่อทำน้ำหมักผลไม้

 
น้ำผึ้งแท้ความชื้นต่ำเพื่อทำน้ำหมักผลไม้
 

น้ำตาลทรายแดง

น้ำตาลทรายแดง ราคาพิเศษ ติดต่อ สอบถามราคาได้ที่ 0891100533

ถังหมักผลไม้เพื่อทำน้ำเอ็นไซม์

 
 ตัวอย่างการทำน้ำหมักผลไม้ เพื่อทำน้ำเอ็นไซม์ (Fruits Cider)
 
 
การทำน้ำหมักผลไม้ เพื่อทำน้ำเอ็นไซม์ (Fruits Cider)
 

ถังหมักผลไม้ราคาพิเศษ 50 ลิตร
 

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพ เพื่อการพอเพียง



คำนำ

คำว่า เอนไซม์ เป็นการกำหนดคำหลังจากนักวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นโครงสร้างของโปรตีนที่มีสารไวตามิน แร่ธาตุ ออกซิเจน รวมอยู่ตลอด ถึงแม้จะทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว สารดังกล่าวยังคงแตกตัวต่อเนื่องแบบไม่รู้จบ และคงสภาวะปฏิกริยาตามความหนาแน่นของอินทรียวัตถุในแต่ละสิ่งแวดล้อม

การสร้างสารดังกล่าวเกิดมาเนิ่นนาน ตั้งแต่สมัยพุทธกาลพบว่า น้ำดองน้ำมูตรเน่าบริสุทธิ์ (หมักนานเกินกว่า 1 ปี) ก็จะยังคุณสมบัติของเอนไซม์มากกว่า 8 ชนิดอยู่ และมีความสามารถทำงานอย่างต่อเนื่อง

ข้าพเจ้าขออนุโมทนาพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ในพระพุทธองค์ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตเผยแพร่แด่สาธุชนทั้งหลาย

 เนื้อหา

สำหรับการทำน้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์เพื่อการบริโภคนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล น้ำสมอดองถือเป็น น้ำอมตะ และยาอายุวัฒนะ แห่งการรักษาชีวิต

ซึ่งหากจะแปลความจากการวิเคราะห์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ น้ำหมักชีวภาพ หรือ เอนไซม์ ก็คือ น้ำมูตรเน่าเถ้าดองที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก สารอินทรีย์ที่ได้จากการหมักนั้นได้ทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์แก่มวลมนุษยชาติมานานนับพันปี

เกือบยี่สิบกว่าปีแห่งการค้นคว้า คณะสงฆ์เครือข่ายภาคอีสาน และชมรมบ้านสุขภาพ ได้ร่วมศึกษาและค้นคว้าพืชผักผลไม้ สมุนไพรต่าง ๆ นานาชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทย

เราพบว่าการนำผักผลไม้มาหมักตาม ทฤษฎีการแตกตัวของอนุมูลสารอาหาร เพื่อให้เกิดการซึมของน้ำหมัก ซึ่งจะได้สารอาหารซึ่งอยู่ในรูปของสารละลาย ครบ 5 หมู่ ตามความต้องการของร่างกายในสภาวะฟื้นฟูและดูแลจากขบวนการหมัก

สารอาหารที่ออกมานั้นอยู่ในรูปของ กรดอะมิโนจากโปรตีน พลังงานจากแป้ง ไวตามินและแร่ธาตุจากผักผลไม้

ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น สารอาหารที่ร่างกายต้องการในระดับต่าง ๆ กัน ในกรณี สมุนไพร ก็เช่นกัน นอกจากจะได้สารอาหารต่าง ๆ แล้วยังทำให้สมุนไพรออกฤทธิ์ในการรักษามากขึ้น แต่ไม่มีผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์จากน้ำยาง แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาที่หมักนานมากกว่า 5 ปี จึงจะมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกรดอะมิโน ไวตามิน เกลือแร่ และออกซิเจนจะออกฤทธิ์อยู่ในรูปสารละลาย และไม่มีผลข้างเคียง

สารละลายที่ได้รับจากขบวนการหมักดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นตัวลดการเผาผลาญเกินในร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิด เซลล์ผิดปกติต่าง ๆ เช่น เซลล์เนื้องอก เซลล์มะเร็ง เซลล์ที่เกิดการรวมตัวแบบแยกส่วน (MCTD : MIXED CONNECTIVE TISSUE DESEASE) หรือ อาการภูมิแพ้ หรือแพ้ภูมิตนเองให้ลดลง และปรับฮอร์โมนให้ปรกติ

 การผลิตน้ำหมักชีวภาพเป็นเทคโนโลยีที่ผมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาพื้นบ้านและความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์

ซึ่งการที่ จะได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณประโยชน์อย่างไรนั้น จำเป็นที่จะต้องมองถึงองค์ประกอบสำคัญในเรื่องวัตถุดิบ รวมไปถึงสัดส่วน และระยะเวลาที่ใช้ในการผลิตเอนไซม์

สาระสำคัญที่เกิดขึ้นนี้ หากปฏิบัติถูกวิธีก็จะให้สารที่มีคุณประโยชน์ต่อการบริโภค กล่าวคือ เมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นผลดีต่อร่างกาย เช่น จุลินทรีย์แลคติก กรดอะมิโน กรดแลคติก และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

ทำไมถึงเรียก เอนไซม์

เอนไซม์ คือ โปรตีนที่คัดหลั่งมาจากเซลล์ที่มีฤทธิ์กระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสารอื่น ๆ โดยตัวมันเองไม่เปลี่ยนแปลง

ชื่อ เอนไซม์ ถูกเสนอโดยนักสรีรวิทยาชาวเยอรมันในปี 1867 มาจากกลุ่มคำศัพท์ “Enzyme” เป็นคำเรียกสารที่มีโปรตีน และไวตามินอยู่ร่วมกัน และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อย

กระนั้นเอนไซม์ยังจำแนกได้อีก 700 กว่าชนิด
การหมักน้ำเอนไซม์ มีกระบวนการทางเคมีทางทฤษฎีของการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลจากผลไม้เป็นกรดน้ำส้ม
สูตรทางเคมีคือ CH3COOH เมื่อสารละลายน้ำแล้ว น้ำส้มสายชูก็จะเปลี่ยนไปอยู่ในรูปของโอโซน (O3) ซึ่งไวต่อการทำลายเซลล์ตายและให้กำลังกับเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่

CH3COH + O + O2 เปลี่ยนเป็น O3 + 2H2O + 2C (Ash)
กลุ่มทางเคมีในรูปของเอนไซม์ ทีมีชื่อว่า อะเซททิล โคเอ (Acetyle Co-A) ทำหน้าที่ควบคุมเอนไซม์ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ทำให้สารอินทรีย์ถูกย่อยเปลี่ยนรูปเป็น กรดน้ำส้มสายชู และเพิ่มโอโซนธรรมชาติในชั้นบรรยากาศมากขึ้น

ดังนั้น เอนไซม์ คือ สารที่เกิดจากขบวนการแตกตัวสารอาหารด้วยขบวนการ IONIC DISCHARGE

ซึ่งจะให้ สารอาหารที่อยู่ในรูปของ อิออนบวกและลบ ทำให้เกิดการสลายอนุมูลอิสระในร่างกาย ให้เกิดเป็นอนุมูลธาตุ ทำให้เซลล์ลดการตายลงและมีชีวิตต่อไปได้

เมื่อร่างกายได้รับเอนไซม์จากขบวนการดังกล่าวจะช่วยทำให้เซลล์และขบวนการทางเคมีต่าง ๆ ในร่างกายเกิดสภาวะสมดุล จนเกิดการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญก็คือ กรดอะมิโน สารอาหารในกลุ่ม โปรตีน ไวตามิน และเกลือแร่ คือ ไวตามินบีรวม บี 1 บี 2 บี 12 แร่ธาตุที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และชะล้างส่วนที่ตายแล้วให้ออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของเอนไซม์จากการวิจัยดังนี้

1. เอนไซม์ช่วยเปลี่ยนอาหารคาร์โบไฮเดรต น้ำตาล และเส้นใยอาหารให้เป็นกรดอินทรีย์ เช่นกรดแลคติก กรดอะซิติก และกรด บิวทีริก ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ทำให้เอนไซม์มีรสเปรี้ยว และช่วยทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้อย่างลื่นสะดวก กรดอินทรีย์บิวทีริกเสริมการสร้างดีเอ็นเอ และเพิ่มจำนวนเซลล์บุผิวในลำไส้ใหญ่ให้มีมากแข็งแรงมีอายุยืนกว่าเดิม ทำหน้าที่ต้านเชื้อโรคได้ดี ต่อต้านการเกิดเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ดี

2. เอนไซม์สร้างไวตามิน B12 ไวตามิน K และไวตามิน B หลายชนิด บำรุงเม็ดเลือด เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และเซลล์ทั่วไป

3. ช่วยสร้างเอนไซม์แลคเตส เพื่อย่อยน้ำตาลในนม ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น

4. สร้างสารต่อต้านเชื้อโรค สารอินทรีย์นี้เรียกว่า แบคทีริโอซิน (bacteriocins) มีหลายชนิด ได้แก่ acidolin, acidophilin, bulgarican, lactocillin และ niacin ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายเช่น เชื้อที่ทำให้เจ็บคอ เชื้อที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง (Helicobacter pylori) เชื้อที่เกิดตามผิวหนังที่ทำให้เป็นแผลพุพองเรื้อรังและดื้อต่อยาปฏิชีวนะ (methicillin resistant Staphy lococcus aruecus (MRSA) เชื้อที่ทำให้ท้องร่วง (Escherichia coil, Salmonella , Listeria, Shigella และเชื้อที่ทำให้เกิดเหม็นเน่า (Clostridium perfringens)

5. ช่วยละระดับโคเลสเตอรอลในเลือด

6. ช่วยในการทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีการนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) ซึ่งจะช่วยยืดระยะเวลาการหมดประจำเดือน และบรรเทาการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย เนื่องจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมบกพร่อง)

7. ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการฉายรังสี และเคมีบำบัดหลังการผ่าตัดมะเร็ง ลดอาการแพ้ คลื่นไส้ ผมร่วง ทำให้รับประทานอาหารได้ดีขึ้น และพบว่าทำให้ปริมาณฮีโมโกลบินสูงขึ้นด้วย

8. ช่วยลดการเกิดสารก่อมะเร็งบางชนิด เช่น ไนโตรซามีน

9. ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในสัตว์ทดลอง ทั้งในระดับ ระยะเริ่มต้น (initlation) และระยะส่งเสริม (promotion) ของโรคมะเร็ง และในทางระบาดวิทยา พบว่าในคนมีความสัมพันธ์กับการลดอัตราการเสี่ยงของมะเร็งลำไส้

ขั้นตอนการผลิตเอนไซม์เพื่อการบริโภค
1. จัดเตรียมอุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วย






ผลไม้หรือสมุนไพร : น้ำผึ้ง : น้ำสะอาด ในอัตราส่วน 3:1:10 
2. นำผลไม้มาทำความสะอาด ถ้าผลไม้ใหญ่ให้แบ่งเป็นชิ้นเล็ก แล้วใส่ในภาชนะตามอัตราส่วนโดยเหลือพื้นที่ 1/5 ของภาชนะ เพื่อให้อากาศภายในมีการหมุนเวียน
3. ปิดฝาและทำประวัติติดข้างภาชนะหมัก ประกอบด้วย
* ชนิดของผลไม้ *วันเดือนปีที่ผลิต
4. เมื่อได้ระยะเวลา 3 เดือนแล้ว เกิดน้ำใส (Ionic plasma) ลอยตัว ให้ดูดออกด้วยสายยางแล้วนำมาขยายต่ออีก ทุก ๆ 3 เดือน เป็นเวลา 3 ปี ในอัตราส่วน น้ำใส:น้ำผึ้ง:น้ำ 1:1:10
5. ตัวกากที่ก้นภาชนะหมักต่อไปในอัตราส่วนเดิม คือ
กากผลไม้ที่เหลือ
: น้ำผึ้ง 1 ส่วน : น้ำสะอาด 10 ส่วน
6. เมื่อครบ 3 ครั้งแล้ว กากที่เป็นผงตะกอน ให้หมักในอัตราส่วน
กาก 1 ช้อนโต๊ะ : ผลไม้ 10 กก. : น้ำสะอาด 10 ส่วน
หมักจนได้น้ำใส แล้วเอามาต่ออีกเหมือนตอนต้นไปได้เรื่อย

  ประเภทของผลไม้และสารอาหารที่ได้รับ

หมักผลไม้รสหวาน ได้วิตามิน เอ ดี อี

หมักผลไม้รสเปรี้ยว ได้วิตามิน ซี เค

หมักจากข้าว ได้วิตามิน บี ซี อี

การสังเกต

วิตามินบี จะมีกลิ่นเหม็นอมเปรี้ยว

วตามินซี จะมีกลิ่นเปรี้ยว สีส้ม

วิตามินเค จะมีสีแดง

วิตามินดี จะมีกลิ่นหอม

วิตามินอี จะมีสีใส

การนำเอนไซม์มาใช้เพื่อการบริโภค

การนำเอนไซม์มาใช้เพื่อการบริโภคนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึง

1. ค่า PH ต่ำกว่า 4

2. ประจุไฟฟ้า 1,000 2,000 ไมโครซีเมนต์

3. ปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1 และไม่มีเมทธิลแอลกอฮอล์ ซึ่งแก้ได้โดยการผสมน้ำเพิ่ม 10 เท่า จะไม่มีแอลกอฮอล์
การผสมเอนไซม์พร้อมดื่ม

1. เอนไซม์ 1 ปีขึ้นไป 1 ส่วน ต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน นำมาผสมในภาชนะ (ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 20 % สามารถดื่มได้ทันที แต่น้ำผึ้งธรรมดาต้องหมักไว้ 3 เดือน) จึงนำมาดื่มได้

2. ถ้าไม่ดื่มโดยทิ้งไว้จนครบ 3 เดือน สามารถนำมาขยายต่อในอัตราส่วนเดิมได้อีก คือ น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน (เอนไซม์ที่นำมาขยายควรมีอายุการหมักตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เมื่อนำมาขยายแล้ว ประสิทธิภาพจะไม่ลดลง แต่จะได้ปริมาณมากขึ้น และประหยัด)

 น้ำเอนไซม์ที่ผ่านขบวนการหมัก
สามารถนำมาประยุกต์ทำอะไรได้บ้าง

 อายุ 2 ปี นำมาผสมกับน้ำด่าง สามารถนำมาผลิตทำแชมพูสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ เป็นต้น

อายุ 4 ปี ใช้หัวเชื้อ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผลไม้ 3 ส่วน น้ำ 10 ส่วน หมักต่อไป 15 วัน สามารถนำมาทำน้ำยาบ้วนปาก ล้างแผลสด แผลอักเสบ พุพอง งูสวัด และล้างสารพิษในพืชผักผลไม้

โดยนำเอนไซม์จำนวน 2 ลิตร หมักกับข้าวสุก 10 กก. และน้ำผึ้ง 1 กก. ใส่น้ำท่วมข้าว หมักภายใน 15 วัน จะได้น้ำเอนไซม์ ส่วนข้าวสุกที่หมักแล้ว นำมาใส่น้ำท่วมข้าว หมักอีก 15 วัน ได้น้ำ Enzyme ทำได้ 3 ครั้ง จนข้าวเป็นผง

อายุ 6 ปี ขยายหัวเชื้อ 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน ดื่มได้เลย เมื่อเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊ส ท้องเสีย 20-30 ซีซี ใช้ทำผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ใบหน้า ตา จมูก ช่องปาก คอ ดับกลิ่นตัวในร่มผ้า เท้า ให้สะอาด และสดชื่น

อายุ 6-10 ปี ขึ้นไป ใช้ดองสมุนไพรเป็นเวลา 1 เดือน จะได้ประสิทธิภาพตามคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละตัวเพิ่มขึ้น ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง (3-10 ซีซี) ก่อนหรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง

 ข้อมูลจาก  ดร. รสสุคนธ์ พุ่มพันธุ์วงศ์